Review: Da 5 Bloods (Spike Lee, 2020)

Review: Da 5 Bloods (Spike Lee, 2020)



หนังสงครามเวียดนามที่ยึดโยงกับคนผิวสี ผู้กำกับ สไปก์ ลี นำประวัติศาสตร์สงครามเวียดนามมาร้อยเรียงผ่านการเรียกร้องประเด็นสีผิวได้อย่างแยบยล แม้หนังจะอิงประวัติศาสตร์ที่ผ่านพ้นมาแล้ว แต่ประแสประเด็นผิวสีที่หนังสะท้อนยังคงยึดโยงกลับมาสู่ปัจจุบันและดูสดใหม่ได้อย่างเข้ากัน เราค่อนข้างชอบมากที่หนังเลือกนำเสนอผ่านวิธีการรูปแบบตามหาขุมทรัพย์ผจญภัย การตามล่าขุดทองและกระดูกหัวหน้าหน่วยที่ร่วมสงคราม



สไตล์หนังของ สไปก์ ลี มักจะเป็นการเสียดสีประเด็นปัญหาผิวสีอย่างขบขัน ทว่าก็มีความน่าเศร้าผสมอยู่ Da 5 Bloods พาเราไปร่วมสนุกผจญภัยและเล่าย้อนอดีตกลับไปในสมรภูมิสงครามเวียดนาม หนังชี้ชวนตั้งคำถามว่าทำไมต้องมีสงครามเวียดนาม โดยเพิ่มประเด็นไปในคำถามคือ ทำไมคนเชื้อสายแอฟริกันอเมริกัน (คนผิวสี) ต้องรับใช้ประเทศนี้ด้วยการเอาชีวิตไปเสี่ยง ทั้ง ๆ ที่ สิทธิและเสรีภาพของตัวเองก็ถูกจำกัด ชีวิตต้องดิ้นร้นต่อสู้ พวกเขาต่อสู้ไปเพื่ออะไรกัน?



อย่างไรก็ดีงานสะท้อนความไม่เอาไหนของผู้นำสหรัฐที่พาประเทศไปสู่สงครามเวียดนามที่สุดท้ายแล้วสหรัฐที่อยากเป็นพระเอกเข้าไปแก้ไขก็พ่ายแพ้สงครามครั้งนี้ มีภาพยนตร์หลายเรื่องนำเสนอประเด็นนี้มากมายและหลายเรื่องก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยม เพียงแต่ Da 5 Bloods มีความน่าสนใจในประเด็นของตัวละครที่ซ่อนปมปัญหา นายทหารหมู่ Bloods ทั้ง 5 คน ผ่านช่วยอายุจนแก่ชรา กลับมาเยือนเวียดนามเพื่อตามหาทองที่กลุ่มตัวเองฝังดินไว้ และกระดูกของหัวหน้าหมวดที่ตายในหน้าที่



บทภาพยนตร์ทำให้เราเห็นความหลากหลายผ่านตัวละคร ความตายของหัวหน้าหมู่ สตอร์มิน นอร์แมน (แชตวิค บอสแมน) ที่ตามหลอกหลอนสมาชิกที่เหลือ โอทิส (คลาร์ก ปีเตอร์ส) มีอดีตความหลังกับสาวเวียดนาม พอล (เดลรอย ลินโด) ได้รับผลกระทบต่อจิตใจหลังสงครามจนแทบจะคุมสติไม่อยู่และความสัมพันธ์ที่ไม่ลงรอยกับลูกชาย เอ็ดดี (นอร์ม ลิวอิส) นักธรุกิจล้มละลาย มลวิน (ไอเซียอา ไวต์ล็อก จูเนียร์) ชายแก่ที่ต้องพึ่งยาแก้ปวด ไดอะล็อกของหนังพาเราไปเข้าใจความรู้สึกเบื้องลึก สภาพจิตใจของตัวละคร ซึ่งนักแสดงทั้งหมดเข้าถึงอารมณ์ได้อย่างยอดเยี่ยม



ด้วยความยาว 2 ชั่วโมง ครึ่ง หนังจึงสามารถใส่รายละเอียดและเล่าเรื่องอย่างค่อยเป็นค่อยไปโดยไม่เร่งรีบด่วนสรุป ครึ่งแรกของหนังจึงเป็นการปฐมบท ย้อนเหตุการณ์ และทำให้เราคนดูสัมผัสถึงบาดแผลทางจิตใจ รอยแผลความทนทุกข์ ภาพฟุตเทจเหตุการณ์จริง ความทุกข์ของคนเวียดนาม รวมถึงสภาพจิตใจของตัวละครเองด้วย ซึ่งเป็นข้อดีที่หนังใช้เวลาอธิบายและขยายความสิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานให้กับคนดู ก่อนจะเข้าสู่องค์สองและสามเพื่อสะท้อนนำเสนอแง่มุมประเด็นสีผิว และชนชั้นทางสังคมในประเทศอเมริกาที่หนีไม่พ้นสถานะพลเมืองชั้นสองของประเทศ เพราะเกิดมาเป็นคนผิวดำ



งานภาพหนังใช้อัตราส่วนอยาส่วนขยายให้ดูน่าหลงใหลมีเสน่ห์ หนังจะใช้ ภาพจอแคบ 4:3 เมื่อหลังเหตุการณ์แฟลชแบ็ค และใช้ภาพจอกว้างปกติสำหรับเหตุการณ์ปัจจุบัน และเทคนิคภาพอื่น ๆ อีกมากเลย ซึ่งนำพาและทำให้เรามีอารมณ์ร่วมต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โทนสีที่หนังเลือกใช้ก็โดดเด่น ทำให้เรานึกถึง Apocalypse Now (1979) หนังสงคามเวียดนามอมตะของผู้กำกับ ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา โลเคชั่นงานภาพของหนังอยู่ในสเกลที่สวยมาก มุมกล้องหลาย ๆ มุมที่หนังเลือกใช้นั้นมีพลังมาก ความสวยงามของธรรมชาติในประเทศเวียดนามที่หนังเลือกใช้ก็งามน่าชม



ท้ายสุด Da 5 Bloods เป็นหนังสงครามเวียดนามสะท้อนภาพชนชั้นประเด็นผิวสี ความสนุกสนานของหนังคือการพาคนดูไปร่วมเดินทางผจญภัยในเส้นทางสงคราม เล่าย้อนอดีต ฉากยิงดุเดือด บาดแผลในจิตใจ รวมถึงบทสรุปที่นำพาหมู่ Bloods ไปสู่ความขัดแย้งไม่ลงรอย นอกจากนี้ยังมีตัวละครสมทบในท้ายเรื่องที่เข้ามาสร้างประเด็นของการช่วยเหลือผู้คนที่ได้รับผลกระทบจากสงครามเวียดนามผ่านทีมนักกู้ระเบิด ซึ่งไม่หลงลืมว่าไม่ได้มีแค่คนผิวสีเท่านั้นที่ได้ผลกระทบจากสงครามนี้ แต่มีคนอื่น ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามด้วยเช่นกัน แน่นอนว่า ผลกระทบที่มากที่สุดก็คือชาวบ้าน เด็กน้อย ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่สงคราม หาใช่นายทหารต่างแดน...



ขอให้มีความสุขกับการรับชมภาพยนตร์ครับ :)

ตัวอย่าง


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น